WHO ยกเลิก “ฉุกเฉิน” แต่ก็เตือน “โควิดยังไม่จบ”

WHO ยกเลิก “ฉุกเฉิน” แต่ก็เตือน “โควิดยังไม่จบ”

สุขภาพ ก่อนที่จะผมจะเขียนถึงเรื่องราวสำคัญที่เขียนหัวเรื่องไว้วันนี้ผมขอปฏิบัติภารกิจพสกนิกรดีเรียนท่านนักอ่านอีกทีหนึ่งว่าแต่นี้ต่อไปอีกเพียงแค่ วันเพียงแค่นั้นครับผม การเลือกตั้งทั่วๆไปเพื่อวินิจฉัยอนาคตของเมืองไทยจะเริ่มขึ้นแล้ว โปรดใช้เวลาใช้สมองไตร่ตรองตริตรองอย่างถี่ถ้วนครับว่าจะเลือกคนใดหรือพรรคใดแล้วก็ที่สำคัญจะต้องออกไปลงคะแนนด้วยครับ อย่านอนทับสิทธิเด็ดขาด สำหรับเรื่องที่ผมจะกล่าวถึงมาเขียนในวันนี้ นับว่าเป็น ข่าวดี” ข่าวสารหนึ่งของโลกในท่ามกลางข่าวสารไม่ค่อยดีหลายข่าวสารที่เกิดขึ้นตอนนี้ อย่างเช่นข่าวสารที่เกี่ยวกับ วัววิด-19” เชื้อไวรัสมหาภัยของโลกที่ทำความ เสียหายอย่างมากมายมหาศาลแก่โลกทั้งยังในด้านเอาชีวิตมนุษย์ และก็ทำลายเศรษฐกิจอย่างสั้นๆยับนั่นแหละนะครับ ตอนหลังการสัมมนาคณะกรรมการรีบด่วนเกี่ยวกับวัววิด-19 จบลงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ท่านผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก นาย ครั้งวัวรส อัคฮานอม กีบรีเยซุส ก็ออกมาแถลงว่า วิกฤติวัววิด–19 ในฐานะภัยเร่งด่วน ด้านสาธารณสุขของโลกได้จบลงแล้ว” สำนักข่าวเมืองนอกทุกสำนักรายงานตรงกันว่า คณะกรรมการเร่งด่วนขององค์การอนามัยโลกที่ได้รับการตั้งให้ติดตาม และก็ประเมินเหตุการณ์วัววิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งลงความเห็นเห็นพ้องต้องกันกันเป็นเอกฉันท์ว่า ตรึกตรองข้อมูลในทุกๆด้านในเวลานี้สามารถพูดได้ว่าวัววิด–19 ไม่เข้าส่วนประกอบระดับคำตักเตือนภัยสูงสุดอีกต่อไป” และถึงเวลาแล้วที่จะจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงผ่านกระบวนการปฏิบัติการ หรือการจัดการจัดแจงจากแนวทางปัจจุบันนี้ไปเป็นกระบวนการสำหรับ ระยะยาว” อย่างไรก็แล้วแต่ ท่าน ผู้อำนวยการอนามัยโลก ก็เตือนเอาไว้ด้วยนํ้าเสียงหนักแน่นว่า เชื้อไวรัสนี้ยังคงอยู่กับพวกเรา ข่าวสุขภาพ มันยังคงฆ่าพวกเราอยู่ และก็ยังอาจมีการพัฒนาตัวมันได้อีก” “สิ่งที่ทุกประเทศไม่สมควรที่จะกระทำอย่างมากก็คือการใช้ข่าวสารใหม่ปัจจุบันนี้ไปเป็นเหตุผลของการละเลย ประมาท หรือรื้อถอนระบบต่างๆที่พวกเราช่วยเหลือกันผลิตขึ้นมาทั่วโลกออกไปอย่างสิ้นเชิงและก็การนำไปติดต่อถึงพสกนิกรว่าไม่มีอะไรจำเป็นจะต้องกลุ้มอกกลุ้มใจอีกแล้วเกี่ยวกับวัววิด-19” ตั้งแต่แมื่อวันแรกที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้การระบาดของวัววิด-19 เป็นโรค ระบาดใหญ่” ช่วงวันที่ 11 มี.ค. คริสต์ศักราช2020 หรือ พุทธศักราช2563 มาจนกระทั่งวันที่ประกาศว่า ล่วงเลยขั้นรีบด่วน เมื่อวันศุกร์ที่ พฤษภาคมนั้น ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ เจาะจงไว้ว่า ปริมาณผู้ติดโรคทั้งโลกรวมทั้งสิ้น 687 ล้าน แสนคนเศษ เสียชีวิตไปทั้งนั้น 6,870,751 (หกล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบเอ็ดคน เยอะที่สุดก็คือสหรัฐอเมริกาติดเชื้อโรคกว่า 106 ล้านคน แล้วก็เสียชีวิตกว่า ล้าน แสน หมื่นคน รองลงมาก็คือประเทศอินเดียติดโรค 44 ล้าน แสน คนเศษ แล้วก็เสียชีวิตไปแล้ว แสน หมื่นคนเศษ สำหรับไทยพวกเราติดเชื้อโรคทั้งหมด 4,732,301 คน (สี่ล้านเจ็ดแสนสามหมื่นสองพันสามร้อยเอ็ดคน เป็นชั้นที่ 32 ของโลก แล้วก็เสียชีวิตไป 33,957 ราย เป็นชั้น 34 ของโลก

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : ย้ำรับวัคซีนโควิด-19 ควบคู่ “ไข้หวัดใหญ่”

โอมิครอนยังอาละวาด สายพันธุ์ย่อย XBB.1.16.X

โอมิครอนยังอาละวาด สายพันธุ์ย่อย XBB.1.16.X

สุขภาพ เช้านี้ (วันที่ 28 เมษายน 2566)…ยังคงมีรายงานให้ทราบว่าติดกันรัวๆระลอกนี้เยอะมากนะครับ ติดเชื้อแล้วยังควรแยกตัวจากผู้อื่น 7-10 วัน จนกว่าจะไม่มีอาการ และตรวจ ATK ซ้ำแล้วได้ผลลบ จากนั้นจึงค่อยมาทำงานหรือใช้ชีวิต โดยป้องกันตัวเคร่งครัดจนครบ 14 วัน ด้วยหลักฐานทางการแพทย์จากการวิจัยทั้งจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ หาก “ติดเชื้อ” และแยกตัว 5 วัน มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อ ได้อยู่ 50-75%…7 วัน 25-30%…10 วัน 10%…14 วัน ก็จะปลอดภัย แต่หากไม่แยกตัวหรือแยกตัวระยะสั้น ไม่เพียงพอ ย่อมเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นได้ ที่ทำงานควรช่วยกันปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานของตนเองให้มีการถ่ายเทอากาศ ระมัดระวังการรับประทานอาหารร่วมกัน และรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ข้อมูลข้างต้นนี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat” พร้อมย้ำดังๆว่า ติดกันมากจริงๆนะครับ ข่าวสุขภาพ “ขอให้ปลอดภัย ป้องกันตัวให้ดี…การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องนั้นสำคัญมาก” ฉายภาพสะท้อนการแพร่ระบาดในต่างประเทศ อาการของ “XBB.1.16.x” ในอินเดีย งานวิจัยล่าสุด โดย Karyakarte RP และคณะ เพิ่งเผยแพร่ใน medRxiv (26 เม.ย.66) ศึกษาโดยสำรวจลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคโควิด-19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย XBB.1.16.x จำนวน 276 คน พบว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยนี้มีอาการป่วยถึง 92% โดยอาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้ 67%, ไอ 42%, น้ำมูกไหล 33.7%, ปวดเมื่อยตามตัว 14.5% และอ่อนเพลีย…เหนื่อยล้า 14.1% ทั้งนี้ 91.7% ของผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย XBB.1.16.x นั้น เคยได้รับวัคซีนมาก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งโดส…กว่าหนึ่งในสี่หรือราว 25.7% ของผู้ติดเชื้อ XBB.1.16.x ต้องมารับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือมากักตัวที่สถานพยาบาล ที่สำคัญคือ…กว่าหนึ่งในสามหรือ 33.8% ของกลุ่มที่มานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อสายพันธุ์ XBB.1.16.x นั้น ต้องได้รับออกซิเจน

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเิ่มเติมคลิกเลย : สำรวจสุขภาพคนไทย วัยทำงานอ้วนลงพุงแนะกินบุฟเฟต์อย่างมีสติ

 

ระวังภัยจากน้ำซุป!! ลีโอ เบอร์เนทท์ และ สสส. ผุด OOH กระตุกต่อมความกลัวโซเดียมในน้ำซุปทั่วไทย

ระวังภัยจากน้ำซุป!! ลีโอ เบอร์เนทท์ และ สสส. ผุด OOH กระตุกต่อมความกลัวโซเดียมในน้ำซุปทั่วไทย

สุขภาพ หลายคนชอบซดน้ำซุปเพลินจนหมดชาม พวกเขาคิดว่า “แค่ซดน้ำซุปเองไม่เป็นไรหรอก” โดยไม่รู้ถึงผลของการซดน้ำซุปเป็นประจำ ซดจนหมดนั้นสามารถทำร้ายร่างกายได้ถึงชีวิต เพราะน้ำซุปมีโซเดียมสูง ยิ่งซด ยิ่งสะสมโซเดียมในร่างกาย จนเป็นโรคร้าย ลีโอ เบอร์เนทท์ ประเทศไทย และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ปล่อยแคมเปญ ลดเค็ม ลดโรค บนสื่อนอกบ้าน ข่าวสุขภาพ  (Out of Home Media) เพื่อแก้ปัญหานี้ โดยกระตุ้นให้คนฉุกคิด และอยากปรับพฤติกรรม หันมาซดน้ำซุปน้อยลง ผ่านความกลัว จึงได้เลือกเมนูน้ำซุปที่คนนิยมทานแต่แฝงด้วยโซเดียม ในจังหวะที่กำลังจะยกซด เติมโซเดียมเข้าร่างกาย มาสร้างสรรค์เป็นป้ายโฆษณาที่น่ากลัว ทั้งพะโล้ที่กลายร่างเป็นแมงป่องพร้อมโจมตี แกงจืดที่กลายร่างเป็นงูพร้อมฉก หรือ ต้มยำที่กลายเป็นคำเตือนว่าอันตราย เพื่อตอกย้ำให้ทุกคนที่ได้เห็น “ลดซด ลดโซเดียม ลดเค็ม ลดโรค”

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : ทำความรู้จัก MRI แบบยืน ทางเลือกใหม่คนปวดหลัง-กลัวที่แคบ

ระวังโควิดพันธุ์ใหม่ กลับมาระบาด หลบภูมิคุ้มกันทำ “ตาแดง” “ป๋อ-เอ๋” ติดเชื้อทั้งคู่

ระวังโควิดพันธุ์ใหม่ กลับมาระบาด หลบภูมิคุ้มกันทำ “ตาแดง” “ป๋อ-เอ๋” ติดเชื้อทั้งคู่

สุขภาพ กรมควบคุมโรคคาดข้างหลังวันสงกรานต์ผู้ติดโรควัววิด-19 เพิ่มสูงมากขึ้นแน่ ส่อมากยิ่งกว่าตอนปีใหม่ ภายหลังมีการเดินทาง ทำกิจกรรมด้วยกันเยอะ เชื่อมั่นจัดเตรียมยา เวชภัณฑ์ เตียง โรงพยาบาลไว้พอเพียง แนะพิจารณาอาการใน วัน หลีกห่างคนแก่คนเจ็บโรคเรื้อรัง ย้ำวัคซีนยังช่วยเหลือกันป่วยไข้ ในขณะที่เจอ XBB.1.16 ในไทยแล้ว ราย เป็นสายพันธุ์ม้ามืดมาแรงหลีกภูเขาไม่ได้ดี ด้าน ป๋อ-ณัฐวุฒิ” ติดวัววิดรับวันสงกรานต์ถึงกับขนาดจะต้องนอนโรงแพทย์ ในช่วงเวลาที่ เอ๋-พรทิพย์” ไม่รอด ติดโรคตามผัวแต่ว่าอาการไม่หนัก ภายหลังเหตุการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อเชื้อไวรัสวัวโรทุ่งนา 2019 หรือวัววิด-19 ในไทยคลี่คลายไปๆมาๆก แต่ว่าข้างหลังตอนวันสงกรานต์ปีนี้ ไทยมีลัษณะทิศทางเจอผู้เจ็บป่วยวัววิด-19 มากขึ้น ตอนวันที่ 15 เม.ย. นพ.งาม ใหม่ศรีถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์วัววิด-19 ว่า เป็นไปตามที่กรมควบคุมโรค (คราชการคาดหมายไว้ที่ผ่านมาว่าตอนวันสงกรานต์จะเจอผู้ติดโรคมากเพิ่มขึ้น ข่าวสุขภาพ  เหตุเพราะแนวทางการทำกิจกรรมด้วยกัน การเดินทางได้โอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อโรคได้ แล้วก็เท่าที่รับรายงานตามโรงหมอมีคนเจ็บวัววิด-19 ข่าวสารสุขภาพ  เข้ามารักษามากขึ้น แม้กระนั้นอาการไม่ร้ายแรง เมื่อซักประวัติความเป็นมาส่วนมากได้รับวัคซีนมาแล้ว รวมทั้งบางบุคคลเคยติดโรคมาแล้ว ทำให้ยังมีภูมิต้านทานอาการไม่หนัก นพ.งามกล่าวอีกว่า อาทิตย์หน้าคงจะมองเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อโรคเพิ่มเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ คาดว่าจะมากยิ่งกว่าตอนปีใหม่ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เนื่องจากว่าจากภาพข่าวสารผ่านสื่อต่างๆผู้คนออกมาสนุกร่วมกิจกรรมในเทศกาลวันสงกรานต์มากไม่น้อยเลยทีเดียว มีการสนิทสนมผู้คนที่ไม่ทราบ แล้วก็ในเวลานี้มีการบรรเทามาตรการ มิได้มีการตรวจเชื้อก่อนเข้าทำกิจกรรม เป็นความเสี่ยงที่อาจจะมีการเกิดการได้รับเชื้อได้ แต่ว่ามองดูในด้านบวกผู้ที่ออกมาเล่นวันสงกรานต์โดยมากเป็นเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน คงจะยังมีภูมิต้านทานที่ดี ข้อเสนอแนะข้างหลังวันสงกรานต์ให้เฝ้าระวังพิจารณาอาการตนเองด้านใน วัน เลี่ยงสัมผัสหรือสนิทสนมกับคนชราและก็คนไข้โรคเรื้อรัง แม้เริ่มมีลักษณะอาการไข้ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเหมื่อยตามตัว ให้ตรวจ ATK ถ้าเกิดผลเป็นบวกให้หารือหมอรักษาตามสิทธิ ไม่เสนอแนะตรวจ ATK ในขณะยังไม่มีอาการ ดังนี้ ปริมาณผู้ติดเชื้อโรคที่คาดจะมากขึ้นนั้น ระบบการดูแลรักษาพยาบาลมียา เวชภัณฑ์ รวมทั้งเตียงรองรับ พอเพียง ไม่เกินสมรรถนะของ โรงพยาบาลที่จะรองรับได้แน่ๆ

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : จับตาโควิด XBB.1.16 ติดง่ายแถมหลบภูมิเก่ง ไทยมีคนป่วยเพิ่ม 2.5 เท่า

3 วิธีช่วยให้กระดูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน

แพทย์เฉพาะทางแนะนำผู้ปกครองควรสร้างและสะสมมวลกระดูกของบุตรหลานตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อลดความเสี่ยง “โรคกระดูกพรุน”

ข่าวสุขภาพ ในอนาคตได้โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และ ภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density) และคุณภาพของกระดูก (Bone quality) ที่ลดลง ส่งผลให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกหักง่ายขึ้น แม้เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย นำมาซึ่งภาวะทุพพลภาพทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเสียชีวิตได้จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขในลำดับที่ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด โดยสอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติพบว่า ประชากรไทยที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน 80 – 90% ยังไม่ได้รับการประเมินและรักษา โรคกระดูกพรุนถือเป็นภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือนเมื่อเกิดร่วมกับกระดูกสะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตในปีแรกถึง 17 % และมีสัดส่วน 80% ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมนพ.ศรัณย์ จินดาหรา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่า โรคกระดูกพรุนเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลักใหญ่ คือ ปริมาณมวลกระดูกที่สะสม (Peak bone mass) ไว้มีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือ มีการสลายของกระดูกมากกว่าปกติ โดยปกติแล้วมวลกระดูกนั้นจะเพิ่มสูงสุดอยู่ในระหว่างช่วงอายุ 30 – 34 ปี หลังจากนั้นจะมีการสูญเสียของมวลกระดูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในสตรีเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนจะมีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วในระยะ 5 ปีแรกและลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามกระดูกของเด็กในวัยนี้จะแข็งแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอาหารเป็นสำคัญ เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายรวมถึงมวลกระดูก โดยเฉพาะปริมาณของแคลเซียมที่รับประทานเข้าไปมีความสำคัญมากต่อมวลกระดูกและการเจริญเติบโตของกระดูก

แพทย์เฉพาะทางแนะนำ 12

ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวัย ดังนี้ เด็ก 6 เดือนแรก ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 400 มิลลิกรัมต่อวันเด็กอายุ 6 เดือน -1 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 600 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 700 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 4-8 ปี

ข่าวสุขภาพ ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และเด็กอายุ 9-18 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวันทั้งนี้อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากและดูดซึมได้ดี คือ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม (นม 1 กล่อง ปริมาณ 250 ซีซี ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม) อาหารอื่นๆ ที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ ผักที่มีแคลเซียมสูง เช่น คะน้า ตำลึง ผักกระเฉด ขี้เหล็ก ดอกแค สะเดา3 วิธีช่วยให้กระดูกแข็งแรง การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงสามารถทำได้ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนอายุ 30 ปี เป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด1. ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (Weight Bearing Exercise) และแบบเพิ่มแรงต้านอย่างสม่ำเสมอ (Resistant Exercise) โดยใช้เท้าและขา หรือมือและแขน ในการรับน้ำหนักของตัวเอง เช่น การเต้นแอโรบิก ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน วิ่ง หรือการเดิน2. การได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอและเหมาะสม ตามคำแนะนำของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2564 มีดังนี้ สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และหญิงวัยหมดประจำเดือน ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ไม่แนะนำให้รับประทานแคลเซียมมากกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งรวมทั้งแคลเซียมจากอาหารและแคลเซียมเสริม สำหรับผู้ป่วยที่มีประวัตินิ่วในไต ควรได้รับการประเมินสาเหตุของการเกิดนิ่ว ส่วนประกอบของนิ่วก่อนให้แคลเซียมเสริม 3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือแอลกอฮอล์ ที่มีผลให้มวลกระดูกลดลง นพ.ศรัณย์ กล่าวว่า ภาวะกระดูกสันหลังหักจากโรคกระดูกพรุน อาจจะมีอาการปวดเรื้อรังเพียงเล็กน้อย ตัวเตี้ยลง หลังค่อม หลังคด ท้องอืด เบื่ออาหาร เนื่องจากความจุในช่องท้องลดลง ไปจนถึงผู้ป่วยมีอาการปวดมากจนไม่สามารถลุกเดินได้

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : กรมวิทย์ฯ พร้อมเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยี ชุดตรวจเชื้อวัณโรค-กัญชา สำหรับผู้สนใจแล้ว

กรมสุขภาพจิต เผย ทั่วโลก พบวัยรุ่นอายุน้อย-วัยทำงานตอนต้น มีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น

กรมสุขภาพจิต เผย ทั่วโลก พบวัยรุ่นอายุน้อย-วัยทำงานตอนต้น มีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น

 สุขภาพ กรมสุขภาพจิต เผยสถานการณ์ทั่วโลก พบวัยรุ่นอายุน้อย-วัยทำงานตอนต้น มีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้มีการรายงานสถานการณ์ทั่วโลกและการศึกษาในประเทศไทยที่ พบว่า กลุ่มวัยที่อายุน้อย วัยรุ่น หรือวัยทำงานตอนต้น มีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายได้ เพราะมีหลายปัจจัย จากสถานการณ์โควิด-19 และภัยคุกคามอื่นๆ ที่ทำให้เยาวชนและวัยรุ่นต้องปรับการดำเนินชีวิต เช่น การใช้เวลาเรียนทำงานออนไลน์มากกว่าการพบปะเพื่อนและสังคมตามภาวะปกติ อาจทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ส่งผลทั้งปัญหาสุขภาพและปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้งนี้ในบางรายแม้จะเครียดมาก แต่พฤติกรรมภายนอกไม่แสดงออก ทว่าในใจมีอาการดำดิ่งสู่ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การตัดสินใจด้วยอารมณ์ที่นำมา ซึ่งความเสียใจให้กับคนรอบข้าง เช่น ความกดดันของวัยเรียนที่กลัวว่าจะไม่สามารถทำตามความคาดหวังของครอบครัว นำไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตาย เพราะเข้าใจว่าการกระทำนั้นเป็นทางเลือกที่ต้องการเผชิญหน้าหรือรับมือแต่เพียงคนเดียว ดังนั้นการช่วยเหลือเบื้องต้นที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อมีความรู้สึกหดหู่ ให้มองด้านบวก นึกถึงคุณค่าของตนเอง  ข่าวสุขภาพ ปล่อยวางความคิด ปรับวิธีคิดให้แตกต่างไปจากเดิมจะช่วยให้หาทางออกในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น แต่หากไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง การขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด หรือการรับบริการจากผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่จะสามารถช่วยได้ ซึ่งการตัดสินใจขอความช่วยเหลือเหล่านั้นไม่ได้เป็นการสร้างภาระ เปรียบเหมือนการมองหาเข็มทิศที่จะช่วยในการรับมือต่อสู้กับความคิดของตนเอง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่รุมเร้าได้ ทั้งนี้ คนใกล้ชิด ครอบครัว ครู อาจารย์และเพื่อน ต้องช่วยกันเติมพลังใจให้แก่กัน ไม่ตำหนิความคิด หรือการตัดสินใจของบุคคลเหล่านั้น พร้อมกับรับฟังปัญหาอย่างตั้งใจ โดยไม่ใช้ความคิดของตนเองเข้าไปตัดสิน ร่วมสะท้อนสภาวะจิตใจว่าความเศร้าหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้น มีต้นตอมาจากไหน แนะนำว่าควรจะจัดการร่วมกันอย่างไร ในส่วนของกรมสุขภาพจิต ยังดำเนินการเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ มุ่งหน้าทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาทุกชีวิตให้ได้มากที่สุด และยังเน้นการช่วยเหลือเพื่อป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่เพียงการป้องกันไม่ให้ทำร้ายตัวเอง แต่ทำให้คนมีความทุกข์น้อยลงและยังสามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสังคมอีกด้วย

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : “นมโอ๊ต อัลโปร (Alpro)” เครื่องดื่มแพลนท์เบสอันดับ 1 จากยุโรป

แนะผู้ปกครองพาเด็กเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19

กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะผู้ปกครองควรให้บุตรหลาน

สุขภาพ  โดยเฉพาะ เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี ควรได้รับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคที่อาจเกิดขึ้นนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า แม้ว่าสถานการณ์โควิดในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องและประชาชนส่วนใหญ่เริ่มใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น อีกทั้งเป็นโรคประจำถิ่น แต่การป้องกันตนเองจากโควิดยังคงต้องปฏิบัติต่อไป โดยเฉพาะความปลอดภัยของเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี ควรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด (ฝาสีแดง) จำนวน 3 เข็ม ควรฉีดเข็มแรกและเข็มสองห่างกัน 1 เดือนและเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มสอง 2 เดือน และผู้ปกครองสามารถให้เด็กฉีดพร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆได้ จะช่วยลดความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมถึงอาจอาจพบภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้แก่ ปอดอักเสบ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็ก และเด็กที่มีโรคประจำตัว จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า เมื่อเปรียบเทียบความรุนแรงของโรคโควิด-19 ระหว่างเด็กเล็ก และเด็กโต พบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีอัตราการเกิดปอดอักเสบรุนแรง สูงกว่ากลุ่มเด็กอายุ 5 – 14 ปี ถึง 4 เท่า และพบอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าถึง 3 เท่า

แนะผู้ปกครองพาเด็กเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19

นายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

สุขภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะเห็นได้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความสำคัญในเด็ก เนื่องจากโรคโควิด-19 ก่อให้ความรุนแรงในเด็ก โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กเล็ก และวัคซีนมีประสิทธิภาพดีในการป้องกันโรคโควิด-19 ที่รุนแรงได้ดี และวัคซีนมีความปลอดภัยสูง ซึ่งนอกจากการได้รับวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว ผู้ปกครองควรป้องกันตนเองและบุตรหลานจากการติดเชื้อโควิดด้วยการสวมหน้ากากอนามัย การหลีกเลี่ยงไปสถานที่แออัด การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ การรักษาระยะห่าง แต่หากติดเชื้อโควิดขอให้สังเกตุอาการอย่างใกล้ชิดและหากมีอาการที่รุนแรง เช่น ไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียสต่อเนื่องมากกว่า 1 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ขอเชิญผู้ปกครองทุกท่านนำบุตรหลานตั้งแต่อายุ 6 เดือนจนถึง 18 ปี รับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด

แนะนำข่าวสุขภาพ อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : โรคลมชักในเด็กกับการรักษาด้วย ‘กัญชา’