ถุงยางอนามัยไทยแชมป์โลกที่โดดเด่น มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น

ถุงยางอนามัยไทยแชมป์โลกที่โดดเด่น มีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจ นายพูนดงษ์ ดวงตาพระอาทิตย์ณ์ ผู้อำนวยการที่ทำการหลักการรวมทั้งที่มีความสำคัญในการรบกิจการค้า (สนค.) กล่าวมาว่า สนค. ได้พินิจพิจารณา ผลิตภัณฑ์ไทยที่ได้รับตำแหน่งแชมป์ส่งออกโลกจาก Global Demand Dashboard ในเว็บคิดค้า.com โดยพินิจจากผลิตภัณฑ์ไทยที่มีส่วนแบ่งการนำเข้าในตลาดโลกเป็นชั้นที่ ในปี 65 พบว่า ถุงยาง รวมทั้งปลาทูน่ากระป๋อง เป็นผลิตภัณฑ์ไทยแชมป์โลกที่เด่น มีส่วนแบ่งตลาดโลกมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีกลายหน้า ส่วนทุเรียน มันสำปะหลัง และก็สับปะรดกระป๋อง เป็นกรุ๊ปผลิตภัณฑ์ไทยแชมป์โลกที่หากแม้ครอบครองชั้น ของโลกได้ แต่ว่าคู่ต่อสู้เริ่มชิงส่วนแบ่งการตลาดจากไทยแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจควรจะปรับแผนการผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วยขยายตลาดใหม่ที่มีประสิทธิภาพเสริมเติม เพื่อรักษาแชมป์เอาไว้ให้ได้ สำหรับถุงยางปี 65 ไทยส่งออก 272.26 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ข่าวเศรษฐกิจ  ตลาดส่งออกหลัก เช่น จีน สหรัฐอเมริกา และก็เวียดนาม ในส่วนการนำเข้าของทั้งโลกนั้น โดยไทยครอบครองส่วนแบ่งการตลาดโลกเป็นชั้น มากถึง 44% ของค่านำเข้ารวมทั้งโลก มากขึ้นจากปีกลายหน้า 0.3% รองลงมาเป็นจีน ส่วนแบ่ง 12.8% และก็มาเลเซีย 10.8% ส่วนปลาทูน่ากระป๋อง ไทยส่งออก 2,284.21 ล้านเหรียญฯ ตลาดส่งออกหลัก ดังเช่นว่า สหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น แล้วก็ประเทศออสเตรเลีย โดยไทยครอบครองส่วนแบ่งชั้น มากถึง 24.8% ของค่านำเข้ารวมทั่วทั้งโลก มากขึ้นจากปีกลายหน้า 0.2% รองลงมาเป็นเอกวาดอร์ 15.2% รวมทั้งประเทศสเปน 9.5% ตอนที่ทุเรียนสด ไทยส่งออก 3,219.42 ล้านเหรียญฯ ตลาดส่งออกหลักยกตัวอย่างเช่น จีน ประเทศฮ่องกง แล้วก็ไต้หวัน โดยไทยครอบครองส่วนแบ่งการตลาดโลกชั้น มากถึง 93.3% ของราคานำเข้ารวมทั่วทั้งโลก ลดน้อยลงจากปีกลายหน้า 3.9% รองลงมาเป็นเวียดนาม 6.0% และก็มาเลเซีย 0.7% ด้านมันสำปะหลัง ไทยส่งออก 1,523.80 ล้านเหรียญฯ มีจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก คิดเป็น 98.6% ของค่าส่งออกไทยทั้งผอง แล้วก็ไทยครอบครองส่วนแบ่งการตลาดโลกชั้น อยู่ที่ 46.5% ของค่านำเข้ารวมทั่วทั้งโลก ลดน้อยลงจากปีกลายหน้า 5.6% รองลงมาเป็นเขมร 34.1% และก็ลาว 9.1%

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : กกพ.ยันคิดค่าไฟ 4.70 บาท ยืนกรานรอบนี้ไม่เปลี่ยนสูตรค่าเอฟที

 

ปตท.รุกธุรกิจเรสซิเดนซ์ใน EECi รองรับนักวิจัย สวทช.

ปตท.รุกธุรกิจเรสซิเดนซ์ใน EECi รองรับนักวิจัย สวทช.

เศรษฐกิจ ปตท.รุกธุรกิตเรสซิเดนซ์ใน EECi รองรับนักวิจัย สวทช. พร้อมศึกษาโอกาสลงทุนมิกซ์ยูส 70 ไร่ ทุ่งสองห้อง ยังไม่ตกผลึก ส่วนแผนบุกโรงแรมในปั๊มต้องรอบคอบ ที่ 16 เมษายน 2566 หลังจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปักหมุดพื้นที่เป้าหมายกว่า 3,000 ไร่ ให้กลายเป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำ รวมถึงให้บริการด้านอื่น ๆ หรือ เรียกว่า EECi (Eastern Economy Corridor of Innovation) ซึ่งก่อนหน้านี้ปตท.วางเป้าหมายว่า เฟสแรกจะใช้เวลาประมาณ 10 ปี หรือคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2572 โดยเมืองนวัตกรรมใหม่แห่งนี้ ได้ถูกกำหนด ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ข่าวเศรษฐกิจ หรือ EEC (Eastern Economy Corridor) ในพื้นที่เป้าหมายใน 3 จังหวัด คือ ชลบุรี, ระยอง และฉะเชิงเทรา ล่าสุดนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปีนี้ ปตท.มีแนวนโยบายจะพัฒนาโครงการเรสซิเด้นท์ ในพื้นที่ EECi ซึ่งทางสวทช.ได้ไปสร้างศูนย์วิจัยที่นั่น ก็จะมีการสร้างที่พักอาศัยให้พนักงาน สวทช. หลายร้อยคน โดยโครงการดังกล่าวแต่ไม่ได้ลงทุนมาก เทียบกับธุรกิจเรา และไม่ได้จัดตั้งกลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้ การก่อสร้างศูนย์วิจัยดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังจาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม 4.0

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : จับตานำเข้าผลไม้เพื่อนบ้าน 12 ชนิด สวมสิทธิถิ่นกำเนิดไทย ส่งออกจีน

คนรายได้ต่ำยังฝืดเคือง ดัชนีเชื่อมั่นชี้คนไทยมีความสุขขึ้น

คนรายได้ต่ำยังฝืดเคือง ดัชนีเชื่อมั่นชี้คนไทยมีความสุขขึ้น

เศรษฐกิจ โพล มี.ค.66 ชี้คนไทยมีความสุขขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย แต่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวเป็นรูปตัว K โดยคนรายได้ปานกลางถึงสูง แห่ซื้อสินค้าถาวรทั้งรถ-บ้าน แต่คนรายได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท ยังประหยัดไม่กล้าใช้จ่ายเท่าคนรวย นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการสำรวจความคิดเห็นด้านสังคมจากประชาชน 2,241 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า เดือน มี.ค.66 ดัชนีทุกรายการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และสูงสุดในรอบ 38-40 เดือน โดยดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิตปัจจุบัน อยู่ที่ 56.8 สูงสุดรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.62 เพิ่มจาก 53.4 ในเดือน ก.พ.66 ส่วนในอนาคต หรือใน 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีอยู่ที่ 59.8 สูงสุดรอบ 38 เดือนนับจากเดือน ก.พ.62 เพราะโควิดดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แม้ราคาน้ำมันและค่าครองชีพยังทรงตัวสูง ขณะที่ดัชนีภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน อยู่ที่ 34.5 สูงสุดรอบ 39 เดือนนับจากเดือน ม.ค.63 เพราะประชาชนยังรู้สึกว่ามีปัญหาค่าครองชีพสูง และการเพิ่มขึ้นของรายได้ยังไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพ ส่วนในอีก 3 เดือน แม้ดัชนีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 42.5 สูงสุดรอบ 39 เดือน ข่าวเศรษฐกิจ แต่ค่าดัชนียังต่ำกว่าระดับปกติที่ 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังรู้สึกว่า ค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง อาจบั่นทอนอำนาจซื้อในอนาคต ส่วนดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง อยู่ที่ 50.1 ดีขึ้นจากเดือน ก.พ.66 ที่ 47.8 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และสูงสุดในรอบ 40 เดือน ส่วนในอีก 3 เดือนดัชนีอยู่ที่ 55.9 ซึ่งแม้ดีขึ้น แต่ประชาชนยังเห็นว่าสถานการณ์การเมืองไทยยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพบว่า ดัชนีทุกรายการดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และสูงสุดรอบ 37 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค.63 หรือหลังจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.66 อยู่ที่ 53.8 เพิ่มจาก 52.6 ในเดือน ก.พ.66, ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบัน อยู่ที่ 38.0 เพิ่มจาก 37.0 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 61.4 เพิ่มจาก 60.2 เพราะผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นหลังจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน แต่ยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังสูง, สงครามรัสเซียและยูเครน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่เศรษฐกิจโลกถดถอย กระทบการส่งออกไทยและกำลังซื้อหด

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : กล้วยสด สับปะรดสด และเนื้อหมูปรุงแต่ง 3 สินค้าไทยส่งออกไปญี่ปุ่นผ่านฉลุย

สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ค้านยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด

สมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ค้านยกเลิกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด

เศรษฐกิจ ผู้ผลิตเหล็กรีดร้อน แจงการยกเลิกการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าเหล็ก ทำลายเศรษฐกิจในประเทศตัวเองนับ 10,000 ล้านบาท ความเชื่อมั่นการลงทุนหาย หวั่นต่างชาติทั้งจีน มาเลเซีย ใช้ช่องว่างกดดันราคาตลาดเหล็กโลกดิ่ง นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) และบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และเป็น 2 ใน 6 ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนรายสำคัญของประเทศ กล่าวว่า จากผลการพิจารณาขั้นต้นให้ยุติการขยายเวลาการบังคับใช้การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากประเทศบราซิล อิหร่าน และตุรกี โดยทั้ง 3 ประเทศยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอีกกว่า 13 ล้านตัน และยังคงมีพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากการถูกใช้มาตรการ AD สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนทั่วโลก ผลดังกล่าวนอกจากจะกลับมาสร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิตในประเทศแล้ว ข่าวเศรษฐกิจ  ยังอาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้รายหลักของประเทศ และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศด้วย ซึ่งบริษัทได้ร่วมจับมือกับ นิปปอน สตีล คอร์ป ในฐานะผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก ด้วยการลงทุนในบริษัทเหล็กทั้ง 2 บริษัทเป็นมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท เมื่อปี 2565 เพื่อเข้ามาพัฒนาธุรกิจเหล็กในประเทศให้เติบใหญ่ ด้วยการพัฒนายกระดับเหล็กให้มีคุณภาพแข่งขันได้ และจะช่วยลดการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศได้ ที่สำคัญจะทำให้ต้นทุนรวมในการผลิตเหล็กต่ำลง อีกทั้งเป็นกลุ่มทุนที่มีเครือข่ายด้านการตลาดในอุตสาหกรรมเหล็กเชื่อมโยงไปทั่วโลก โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่นมองเห็นศักยภาพของผู้ผลิตเหล็กในประเทศ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาตลาดในประเทศ เนื่องด้วยอุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สำคัญในการเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นเดียวกับที่มีการพัฒนาในญี่ปุ่น

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : โรงงานน้ำตาล รับซื้อใบอ้อยตันละ 800 บาท

หุ้นไทยวันนี้ 14 พ.ย. 65 ปิดตลาดหุ้นบ่าย ปรับลด 13.91 ดัชนีอยู่ที่ 1,623 จุด

หุ้นไทยวันนี้ ปิดตลาดหุ้นบ่าย ปรับลด 13.91 ดัชนีอยู่ที่ 1,623.38 จุด มูลค่าการซื้อขาย 64,876.47 ล้านบาท

เศรษฐกิจ การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหุ้นไทยวันนี้ ประจำวันที่ 14 พ.ย. 65 ครึ่งวันบ่าย พบว่า ดัชนีปรับลด 13.91 เปลี่ยนแปลง -0.85% ดัชนีอยู่ที่ 1,623.38 จุด ดัชนีสูงสุด 1,633.76 ดัชนีต่ำสุด 1,618.28 มูลค่าการซื้อขาย 64,876.47 ล้านบาท ทั้งนี้ ข่าวเศรษฐกิจ สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

แนะนำข่าวเศรษฐกิจ อ่านเพิ่มเติมคลิกเลย : TQMalpha เผยไตรมาส 3/65 กำไร 206 ล้าน คนซื้อประกันภัยรถยนต์เพียบ